วันนี้มาดูขนมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันในประเทศไทยซะหน่อย
เนื่องจากจบเอกภาษาอิตาเลียนมา
และเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนมากๆแล้ว
ก็เลยอยากมาแนะนำขนมของชาตินี้ซะหน่อย
ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงขนมของอิตาลี คนส่วนใหญ่จะนึกถึง ทีรามิสุกับปันนาค็อตต้า
เราเลยอยากพรีเซนท์อย่างอื่นบ้าง
พูดถึงอาหารหรือขนมอิตาเลียนนี่ดีอย่างหนึ่งคือ วิธีทำไม่ยุ่งยาก ไม่เม็ดเยอะ
แต่เขาเน้นแค่ คุณภาพของวัตถุดิบ ต้องสด ใหม่และดี
ฉะนั้นขนมวันนี้ก็ไม่ยากค่ะ ไม่ต้องมีเตาอบ
คือเราก็พยายามหาขนมที่หลายๆคนสามารถทำได้ด้วย เพราะบางคนไม่มีเตาอบ
อาศัยแค่ตะกร้อไฟฟ้าหรือมือและก็ตู้เย็น
พูดมานานยังไม่บอกเลยว่าขนมชื่ออะไร
ขนมชื่อว่า SEMIFREDDO อ่านออกเสียงว่า เซมิเฟร็ดโด้
ต้นกำเนิดว่ามาจากแคว้นใดในอิตาลีไม่แน่ชัด แต่ก็เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ
มันก็ไม่เชิงเป็นไอศครีมนะคะที่จริง เนื้อสัมผัสจะเป็นมูสเย็นๆมากกว่า
เพราะว่าเบสของมันคือ อิตาเลียนเมอแรงก์ + วิปครีม
แล้วเราก็เติมรสชาติตามใจชอบกันเอาเอง
สูตรดั้งเดิมส่วนผสมหลักจะมี ไข่แดง ไข่ขาวและวิปครีม
แต่สูตรนี้ไม่มีไข่แดงค่ะ เนื้อที่ได้ก็จะนุ่มลิ้น กินแล้วละลายในปากเลย
เรามาดูกันดีกว่ามาทำกันยังไง ส่วนรูปแบบที่เสนอวันนี้เป็นแบบ Neapolitan
คือเป็นสามรสเรียงกัน สตรอว์เบอร์รี่ วนิลา และช็อคโกแลต
ซึ่งมีที่มาจากเมืองเนเปิลส์ทางใต้ของอิตาลีค่ะ
Neapolitan Semifreddo
อุปกรณ์
พิมพ์ Loaf ขนาด 11x22 cm
ตะกร้อมือหรือไฟฟ้า
ตู้เย็น
คลิงฟิล์ม (พลาสติกห่ออาหาร)
กระดาษไข
ชาม 2 ใบ (1 ใบเอาไปแช่เย็นในฟรีซ)
ส่วนผสม
น้ำมันพืชสำหรับทาพิมพ์
ไข่ขาว 1 ฟอง
น้ำตาล 67 กรัม
น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ
นอนแดรี่วิปปิ้งครีม 300 กรัม
สตรอว์เบอร์รี่ 200 กรัม
ไอซิ่ง 1/2 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
ดาร์คช็อคโกแลต 40 กรัม
วิธีทำ
1. ทาน้ำมันพืชบนพิมพ์ให้ทั่วพิมพ์ทุกซอกทุกมุม
จากนั้นเอาคลิงฟิล์มมาห่อให้รอบพิมพ์ด้านในแบบรูปด้านบน
เพื่อให้สะดวกต่อการนำเซมิเฟร็ดโด้ออกจากพิมพ์เมื่อทำเสร็จแล้ว
2. เราไปเตรียมรสสตรอว์เบอร์รี่ซึ่งจะเป็นรสแรกที่เราจะทำกันก่อนโดยการ
นำสตรอว์เบอร์รี่ที่ล้างสะอาดไปปั่นกับน้ำตาลไอซิ่งให้ละเอียดเป็นเหมือนสมูธตี้
จากนั้นใช้กระชอนกรองเอาเมล็ดเล็กๆออก พักไว้
3. ทีนี้เราดูวิธีต่อไปที่ใช้ความเร็วกันนะคะ
จะบอกว่าทำไปครั้งแรกเสียค่ะ เพราะว่าเมอแรงก์เหลวเป็นน้ำ
ถ้าทำได้จะมีลักษณะเหมือนโฟมโกนหนวดแต่เป็นเงาๆนะคะ
เหมือนในรูปด้านบนช่องสุดท้าย เป็นการทำอิตาเลียนเมอแรงก์
ให้เอาน้ำตาลกับน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟอ่อนก่อน คนให้น้ำตาลละลาย
พอน้ำตาลละลาย ให้เพิ่มไฟแรง ไม่ต้องคนน้ำตาลนะคะ
จับเวลา 2 นาที แล้วให้เราไปที่ชามไข่ขาว ตีให้ไข่ขาวตั้งยอดแข็ง
ต้องอาศัยความว่องไวค่ะช่วงนี้
เราต้องมาตีใกล้ๆเตาเลยเพราะว่าเราไม่มี stand mixer ที่ตีทิ้งไว้ได้
พอครบ 2 นาทีจะได้น้ำเชื่อมเดือดปุดๆและไข่ขาวตั้งยอดแล้ว
ตีไข่ขาวต่อไปเรื่อยๆห้ามหยุดนะคะ หันไปหยิบหม้อน้ำเชื่อมมาเทเป็นสายลงไป
ในชามไข่ขาวแล้วตีอีก 2 นาทีให้หายร้อน ทิ้งไว้
4. หยิบชามที่แช่ในฟรีซออกมา ใส่วิปปิ้งครีมลงไปในชาม
ตีให้ตั้งยอดแข็ง นอนแดรี่ก็ดีอย่างคือตีขึ้นได้เร็วกว่าแบบแดรี่
และยังเก็บไว้ได้นานอีก พักไว้
5. จากวิธีข้อ 3 เราจะได้อิตาเลียนเมอแรงก์และวิปครีมจากข้อ 4
ให้เราเอาทั้ง 2 อย่างนี้มาผสมให้เข้ากัน
แล้วตักแบ่ง 3 ชามอย่างเท่าๆกัน
โดยส่วนแรกเราจะทำเป็นรสสตรอว์เบอร์รี่ อีก 2 ชามที่เหลือแช่พักในตู้เย็นก่อน
เอาน้ำสตรอว์เบอร์รี่ที่เตรียมไว้มาคนให้เข้ากันในชามแรก
เทใส่พิมพ์ แล้วตัดกระดาษไขมาแปะลงบนเนื้อครีม นำไปแช่เย็นให้เซ็ทตัว
จริงๆแล้วเซมิเฟร็ดโด้ต้นตำรับเขาแช่แค่ช่องธรรมดา แต่อากาศบ้านเราต้องแช่ฟรีซค่ะ
แช่ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ให้เว็ทตัวเพื่อที่เราจะสามารถเทชั้นต่อไปได้
6. พอครึ่งชั่วโมงแล้วเรามาเตรียมส่วนที่ 2 ต่อ นั่นก็คือรสวนิลา
ให้เอาชามที่ 2ออกมา เทวนิลาลงไปคนให้เข้ากัน
และเอาพิมพ์ออกจากฟรีซ (ในกรณีที่ครีมชั้นแรกยังไม่เซ็ทตัวให้แช่ต่อไปเรื่อยๆ)
แล้วเอากระดาษไขที่แปะครีมชั้นแรกออก
เกลี่ยครีมรสวนิลาใส่พิมพ์แล้วปูด้วยกระดาษไขแผ่นใหม่ทับ
เอาไปแช่ฟรีซต่ออีกครึ่งชั่วโมงหรือจนกว่าจะเซ็ทตัว
7. พอใกล้ครบครึ่งชั่วโมง เรามาเตรียมละลายช็อคโกแลต
เพื่อทำรสช็อคโกแลตในชั้นสุดท้ายกันค่ะ
โดยสับดาร์คช็อคโกแลตเป็นแผ่นๆแล้วเอาไป double boil หรือตุ๋นหม้อซ้อนหม้อ
ต้มน้ำในเดือดแล้วเอาชามสเตนเลสที่ใสช็อคโกแลตซ้อน คนจนกว่าจะละลาย
จากนั้นเอามาพักให้เย็น แต่อย่าให้ช็อคโกแลตแข็งตัวนะคะ
เพราะเราจะต้องเอาไปผสมกันครีมชามสุดท้าย
เมื่อช็อคโกแลตหายร้อน เราก็เอาไปคนให้เข้ากับครีมแล้วเทใส่พิมพ์
ก่อนเทเอากระดาษไขออกก่อนและเช็คว่าเนื้อครีมชั้นสองเซ็ทตัวแล้วหรือยัง
การเซ็ทตัวของครีมไม่ได้หมายความว่าครีมจะต้องแข็งโป๊กเหมือนไอศครีมจริง
เพราะว่าเซมิเฟร็ดโด้ไม่ใช่ไอศครีม แค่ดูว่าเวลาเทชั้นต่อไปมันไม่ผสมกันก็พอค่ะ
8. ขั้นตอนสุดท้าย เราต้องแช่ทิ้งไว้อย่างต่ำ 4 ชั่วโมงหรือข้ามคืนเลย
ค่อยเอาออกจากพิมพ์ ทานเล่นๆเพลินๆก็หมดค่ะ อาหาศร้อนอย่างนี้
ตามสูตรบอกว่าเซมิเฟร็ดโด้ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ -6 ถึง -10 องศา
เนื้อจะเป็นครีมมูส ฉะนั้นไม่ต้องตกใจว่าเซมิเฟร็ดโด้ฉันทำไมไม่แข็งซะที
เขากินกันอย่างนี้แหละ
เซมิเฟร็ดโด้เมืองเนเปิลส์เป็นความลงตัวของรสชาติเมนูหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะมีทั้งความเปรี้ยวจี๊ดของสตรอว์เบอร์รี่้
ความหอมละมุนของวนิลา และความขมของดาร์คช็อคโกแลต
อยากให้เพื่อนๆลองทำดูกันนะคะ รับรองจะติดใจ
สูตรจาก BBC GoodFood