วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Homemade Neapolitan Semifreddo เซมิเฟร็ดโดสามรสฉบับทำเอง

วันนี้มาดูขนมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันในประเทศไทยซะหน่อย
เนื่องจากจบเอกภาษาอิตาเลียนมา
และเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนมากๆแล้ว
ก็เลยอยากมาแนะนำขนมของชาตินี้ซะหน่อย
ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงขนมของอิตาลี คนส่วนใหญ่จะนึกถึง ทีรามิสุกับปันนาค็อตต้า
เราเลยอยากพรีเซนท์อย่างอื่นบ้าง
พูดถึงอาหารหรือขนมอิตาเลียนนี่ดีอย่างหนึ่งคือ วิธีทำไม่ยุ่งยาก ไม่เม็ดเยอะ
แต่เขาเน้นแค่ คุณภาพของวัตถุดิบ ต้องสด ใหม่และดี
ฉะนั้นขนมวันนี้ก็ไม่ยากค่ะ ไม่ต้องมีเตาอบ
คือเราก็พยายามหาขนมที่หลายๆคนสามารถทำได้ด้วย เพราะบางคนไม่มีเตาอบ
อาศัยแค่ตะกร้อไฟฟ้าหรือมือและก็ตู้เย็น
พูดมานานยังไม่บอกเลยว่าขนมชื่ออะไร

ขนมชื่อว่า SEMIFREDDO อ่านออกเสียงว่า เซมิเฟร็ดโด้
ต้นกำเนิดว่ามาจากแคว้นใดในอิตาลีไม่แน่ชัด แต่ก็เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ
มันก็ไม่เชิงเป็นไอศครีมนะคะที่จริง เนื้อสัมผัสจะเป็นมูสเย็นๆมากกว่า
เพราะว่าเบสของมันคือ อิตาเลียนเมอแรงก์ + วิปครีม
แล้วเราก็เติมรสชาติตามใจชอบกันเอาเอง
สูตรดั้งเดิมส่วนผสมหลักจะมี ไข่แดง ไข่ขาวและวิปครีม
แต่สูตรนี้ไม่มีไข่แดงค่ะ เนื้อที่ได้ก็จะนุ่มลิ้น กินแล้วละลายในปากเลย
เรามาดูกันดีกว่ามาทำกันยังไง ส่วนรูปแบบที่เสนอวันนี้เป็นแบบ Neapolitan
คือเป็นสามรสเรียงกัน สตรอว์เบอร์รี่ วนิลา และช็อคโกแลต
ซึ่งมีที่มาจากเมืองเนเปิลส์ทางใต้ของอิตาลีค่ะ

Neapolitan Semifreddo


อุปกรณ์

พิมพ์ Loaf ขนาด 11x22 cm
ตะกร้อมือหรือไฟฟ้า
ตู้เย็น
คลิงฟิล์ม (พลาสติกห่ออาหาร)
กระดาษไข
ชาม 2 ใบ (1 ใบเอาไปแช่เย็นในฟรีซ)


ส่วนผสม

น้ำมันพืชสำหรับทาพิมพ์
ไข่ขาว 1 ฟอง
น้ำตาล 67 กรัม
น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ
นอนแดรี่วิปปิ้งครีม 300 กรัม
สตรอว์เบอร์รี่ 200 กรัม
ไอซิ่ง 1/2 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
ดาร์คช็อคโกแลต 40 กรัม


วิธีทำ



1. ทาน้ำมันพืชบนพิมพ์ให้ทั่วพิมพ์ทุกซอกทุกมุม
จากนั้นเอาคลิงฟิล์มมาห่อให้รอบพิมพ์ด้านในแบบรูปด้านบน
เพื่อให้สะดวกต่อการนำเซมิเฟร็ดโด้ออกจากพิมพ์เมื่อทำเสร็จแล้ว


2. เราไปเตรียมรสสตรอว์เบอร์รี่ซึ่งจะเป็นรสแรกที่เราจะทำกันก่อนโดยการ
นำสตรอว์เบอร์รี่ที่ล้างสะอาดไปปั่นกับน้ำตาลไอซิ่งให้ละเอียดเป็นเหมือนสมูธตี้
จากนั้นใช้กระชอนกรองเอาเมล็ดเล็กๆออก พักไว้


3. ทีนี้เราดูวิธีต่อไปที่ใช้ความเร็วกันนะคะ
จะบอกว่าทำไปครั้งแรกเสียค่ะ เพราะว่าเมอแรงก์เหลวเป็นน้ำ
ถ้าทำได้จะมีลักษณะเหมือนโฟมโกนหนวดแต่เป็นเงาๆนะคะ
เหมือนในรูปด้านบนช่องสุดท้าย เป็นการทำอิตาเลียนเมอแรงก์
ให้เอาน้ำตาลกับน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟอ่อนก่อน คนให้น้ำตาลละลาย
พอน้ำตาลละลาย ให้เพิ่มไฟแรง ไม่ต้องคนน้ำตาลนะคะ
จับเวลา 2 นาที แล้วให้เราไปที่ชามไข่ขาว ตีให้ไข่ขาวตั้งยอดแข็ง
ต้องอาศัยความว่องไวค่ะช่วงนี้
เราต้องมาตีใกล้ๆเตาเลยเพราะว่าเราไม่มี stand mixer ที่ตีทิ้งไว้ได้
พอครบ 2 นาทีจะได้น้ำเชื่อมเดือดปุดๆและไข่ขาวตั้งยอดแล้ว
ตีไข่ขาวต่อไปเรื่อยๆห้ามหยุดนะคะ หันไปหยิบหม้อน้ำเชื่อมมาเทเป็นสายลงไป
ในชามไข่ขาวแล้วตีอีก 2 นาทีให้หายร้อน ทิ้งไว้

4. หยิบชามที่แช่ในฟรีซออกมา ใส่วิปปิ้งครีมลงไปในชาม
ตีให้ตั้งยอดแข็ง นอนแดรี่ก็ดีอย่างคือตีขึ้นได้เร็วกว่าแบบแดรี่
และยังเก็บไว้ได้นานอีก พักไว้


5. จากวิธีข้อ 3 เราจะได้อิตาเลียนเมอแรงก์และวิปครีมจากข้อ 4
ให้เราเอาทั้ง 2 อย่างนี้มาผสมให้เข้ากัน
แล้วตักแบ่ง 3 ชามอย่างเท่าๆกัน 
โดยส่วนแรกเราจะทำเป็นรสสตรอว์เบอร์รี่ อีก 2 ชามที่เหลือแช่พักในตู้เย็นก่อน
เอาน้ำสตรอว์เบอร์รี่ที่เตรียมไว้มาคนให้เข้ากันในชามแรก
เทใส่พิมพ์ แล้วตัดกระดาษไขมาแปะลงบนเนื้อครีม นำไปแช่เย็นให้เซ็ทตัว
จริงๆแล้วเซมิเฟร็ดโด้ต้นตำรับเขาแช่แค่ช่องธรรมดา แต่อากาศบ้านเราต้องแช่ฟรีซค่ะ
แช่ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ให้เว็ทตัวเพื่อที่เราจะสามารถเทชั้นต่อไปได้


6. พอครึ่งชั่วโมงแล้วเรามาเตรียมส่วนที่ 2 ต่อ นั่นก็คือรสวนิลา
ให้เอาชามที่ 2ออกมา เทวนิลาลงไปคนให้เข้ากัน
และเอาพิมพ์ออกจากฟรีซ (ในกรณีที่ครีมชั้นแรกยังไม่เซ็ทตัวให้แช่ต่อไปเรื่อยๆ)
แล้วเอากระดาษไขที่แปะครีมชั้นแรกออก
เกลี่ยครีมรสวนิลาใส่พิมพ์แล้วปูด้วยกระดาษไขแผ่นใหม่ทับ
เอาไปแช่ฟรีซต่ออีกครึ่งชั่วโมงหรือจนกว่าจะเซ็ทตัว


7. พอใกล้ครบครึ่งชั่วโมง เรามาเตรียมละลายช็อคโกแลต
เพื่อทำรสช็อคโกแลตในชั้นสุดท้ายกันค่ะ
โดยสับดาร์คช็อคโกแลตเป็นแผ่นๆแล้วเอาไป double boil หรือตุ๋นหม้อซ้อนหม้อ
ต้มน้ำในเดือดแล้วเอาชามสเตนเลสที่ใสช็อคโกแลตซ้อน คนจนกว่าจะละลาย
จากนั้นเอามาพักให้เย็น แต่อย่าให้ช็อคโกแลตแข็งตัวนะคะ
เพราะเราจะต้องเอาไปผสมกันครีมชามสุดท้าย
เมื่อช็อคโกแลตหายร้อน เราก็เอาไปคนให้เข้ากับครีมแล้วเทใส่พิมพ์
ก่อนเทเอากระดาษไขออกก่อนและเช็คว่าเนื้อครีมชั้นสองเซ็ทตัวแล้วหรือยัง
การเซ็ทตัวของครีมไม่ได้หมายความว่าครีมจะต้องแข็งโป๊กเหมือนไอศครีมจริง
เพราะว่าเซมิเฟร็ดโด้ไม่ใช่ไอศครีม แค่ดูว่าเวลาเทชั้นต่อไปมันไม่ผสมกันก็พอค่ะ


8. ขั้นตอนสุดท้าย เราต้องแช่ทิ้งไว้อย่างต่ำ 4 ชั่วโมงหรือข้ามคืนเลย
ค่อยเอาออกจากพิมพ์ ทานเล่นๆเพลินๆก็หมดค่ะ อาหาศร้อนอย่างนี้
ตามสูตรบอกว่าเซมิเฟร็ดโด้ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ -6 ถึง -10 องศา
เนื้อจะเป็นครีมมูส ฉะนั้นไม่ต้องตกใจว่าเซมิเฟร็ดโด้ฉันทำไมไม่แข็งซะที
เขากินกันอย่างนี้แหละ
เซมิเฟร็ดโด้เมืองเนเปิลส์เป็นความลงตัวของรสชาติเมนูหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะมีทั้งความเปรี้ยวจี๊ดของสตรอว์เบอร์รี่้
ความหอมละมุนของวนิลา และความขมของดาร์คช็อคโกแลต
อยากให้เพื่อนๆลองทำดูกันนะคะ รับรองจะติดใจ


สูตรจาก BBC GoodFood

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Corn pie: พายข้าวโพด

จากเมื่อ 2 วันที่แล้วผลิต Pate Brisee (Pie dough/ Pastry dough)
เหลืออีก 1 ชิ้น เรามาหาทางกำจัดดีกว่า เพราะตู้เย็นของเยอะมาก จะพังแล้ว
จริงๆก็อยากทำพายเบอร์รี่นะ แต่ว่าหาไม่ค่อยได้เลย
ไปฟู๊ดแลนด์มา ไม่มี มีแต่อะไรก็ไม่รู้ เลยได้ข้าวโพดมาแทน
พาย + ข้าวโพด = พายข้าวโพด ง่ายมั้ย?
แต่ไม่ชอบตอนแกะเมล็ดข้าวโพดเลย เมื่อย ฮ่าๆ
ตอนแรกไม่รู้ว่าต้องแกะยังไงเลยใช้มีดฝานเลย
เร็วแต่เมล็ดมันจะแหว่งๆ
ตอนนี้เลยขยันหน่อย หักครึ่งแล้วใช้สันนิ้วโป้งเลาะๆเอา

พายข้าวโพด


ส่วนผสม


1. เปลือกพายขนาด 9 นิ้ว (ดู วิธีทำ  )            1 ชิ้น
หรือหาซื้อแบบสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ

ส่วนไส้คัสตาร์ดข้าวโพด

1. เมล็ดข้าวโพดหวานดิบ 2 ถ้วย
2. นมข้นจืด   1/2 ถ้วย
3. น้ำเปล่า    1/2 ถ้วย
4. น้ำตาล 1/4 - 1/3 ถ้วย
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. แป้งข้าวโพด 1/4 ถ้วย + น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน
7. เนยเค็ม 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ


1. อบเปลือกพาย ตามวิธีนี้

2. ถ้ามีเปลือกอบเสร็จหรือใช้แบบสำเร็จรูปแล้ว
เรามาทำไส้กันเลยค่ะ
ตั้งหม้อไฟปานกลางใส่นมข้นจืด + น้ำ อย่างละ 1/2 ถ้วย
พอเดือดแล้วใส่น้ำตาล+เกลือ+ข้าวโพด+เนย คนด้วยพายไม้ให้เข้ากัน
จนน้ำตาลละลาย ค่อยใส่แป้งข้าวโพดที่ละลายน้ำ เบาไฟอ่อน คนให้เข้ากัน
พอเหนียวข้น แป้งสุกแล้วยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น


3. วอร์มเตา 175 องศาเซลเซียส ไฟบนล่าง
พอไส้คัสตาร์ดข้าวโพดเย็นแล้ว ให้ใส่ลงบนเปลือกพาย


4. รีดเศษแป้งที่เหลือเพื่อมาคลุมหน้า อาจจะตกแต่งตามใจชอบ
เป็นแบบสานหรือโปะไปทั้งหน้าแบบที่เราทำ
เอาไปอบต่ออีก 30 นาทีไฟบนล่าง 175 องศาเซลเซียส
หรือจนกว่าแป้งจะเป็นสีเหลืองทอง

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Spinach and ham QUICHE*: พายผักโขมและแฮมสไตล์ฝรั่งเศส

ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ที่พูดถึงการทำ Pie dough หรือแป้งพายจืดนั่นเอง
เราได้แช่ตู้เย็นไว้อย่างที่บอกการทำพายเน้นความเย็น
ทีนี้วันนี้เราจะดูการรีดแป้งและกรุพายเข้าพิมพ์กันเพื่อทำ Pie shell ค่ะ

ก่อนอื่นเอาแป้งพายที่เราทำเมื่อวานออกจากตู้เย็น
 (ดูจากบทความก่อนหน้านี้ คลิก )
เตรียมสเตชั่นนวดแป้งนะคะ โรยแป้งสาลีลงไปให้ทั่วโต๊ะ
เตรียมไม้นวดแป้งด้วย ทาแป้งบางๆบนไม้
เพื่อป้องกันให้แป้งไม่ติดเนื้อไม้
ขั้นตอนนี้ไม่มีรูปถ่ายค่ะเพราะมือเปื้อนมาก

วิธีการนวดแป้งให้เป็นแผ่นกลม

1. เอาแป้งพายวางบนโต๊ะที่โรยแป้งทั่วแล้ว เตรียมไม้นวดดันเป็นทางเดียวกัน
เช่น ถ้าจะดันด้านหน้าก็ดันหน้าเรื่อยๆจนแผ่นมีความหนาประมาณ 1/4 นิ้วแล้วเปลี่ยนที่
นวดให้เรียบและบางลงทั้วแผ่นและให้มีลักษณะกลมเหมือนจาน
แต่ถ้าไม่กลม ให้จับนวดตรงขอบให้มันบางลงๆ
เส้นผ่าศูนย์กลางของแผ่นแป้งควรมีขนาดใหญ่กว่าพิมพ์
เช่น พิมพ์ขนาด 9 นิ้ว แป้งควรรีดให้ได้ประมาณ 13 นิ้ว

2. พยายามหาสปาตูล่ามาแซะใต้แป้ง แต่อย่าให้แป้งขาดนะคะแล้วโรยแป้งข้างใต้
เพื่อไม่ให้แป้งติดโต๊ะ จากนั้นถึงขั้นตอนม้วนแผ่นแป้งกับไม้นวด
ให้วางไม้นวดบนริมแผ่นแป้งด้านใกล้ตัวเราแล้วม้วนแป้งเข้ากับไม้ดันให้ไกลตัวเราออกไป
จากนั้นแผ่นแป้งก็จะอยู่บนไม้นวดนะคะ

3. ในตอนนี้ให้เราวางถาดพิมพ์ของพายหรือทาร์ต
แล้ววางไม้นวดไว้ตรงกลางพิมพ์ค่อยๆปล่อยให้ขอบแป้งลงมา
แบบในภาพด้านล่าง แป้งจะคลุมพายไว้
ทำวิธีนี้เป็นการป้องกันไม่ให้แป้งขาด
แต่จริงๆแล้วแป้งพายนี้มีคุณภาพดีอยู่แล้วเพราะยืดหยุ่นไม่ขาดง่าย
จากนั้นให้กดแป้งลงบนพิมพ์ด้วยมือ
ตรงขอบพายให้พับย่นๆลงมาเผื่อไว้
เพราะเวลาอบแป้งจะหดตัวลงมา


4. พับตามจีบไปเรื่อยๆ


5. วิธีตัดขอบ สำหรับผู้ที่ใช้พิมพ์ขอบหยักแบบเราง่ายมาก
ใช้แค่ไม่นวดกดลงไปบนขอบแบบภาพด้านล่าง
แต่ถ้าใครใช้ถาดแก้ว ก็อาจจะใช้กรรไกรเล็มขอบแทน
ตามภาพนี้ ขอบหยักจะคมมาก พอกดลงไป เอามือดึงออกก็หลุดค่ะ
เหลือเศษแป้งก็เก็บไว้ได้


6. อันนี้คือพายที่กรุเสร็จแล้ว
ให้เอาเข้าไปแช่ในตู้เย็นซักพัก ประมาณ 30 นาที
แล้วค่อยกลับมาทำใหม่


7. พอครบเวลา เอาออกมาใช้ส้อมจิ้มให้เป็นรูพรุนทั่วถาดแบบในรูป
การจิ้มให้เป็นรูเพื่อป้องกันการพองตัวเมื่อนำแป้งเข้าไปอบ


8. ในการอบเปลือกพาย สิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือตัวถ่วงพาย
เพราะช่วยให้พายมีพื้นผิวเรียบเท่ากันและไม่โป่งพองเป็นตะปุ่มตะป่ำ
เราใช้ข้าวสาร แต่สามารถเอาถั่วหรืออะลูมิเนียมถ่วงพายมาใช้ก็ได้ ถ้ามีนะคะ
จากนั้นเราจะทำการอบเฉพาะเปลือกพายหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า
Blind Baking 
อบหลอก เดี๋ยวจะมีอบจริง ฟังดูเหมือน เผาจริง เผาหลอกเลย
อบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
ไฟบนล่าง นาน 40 นาที 


9. ตอนครบ 30 นาทีให้เอาตัวถ่วงออก ข้าวสารเสกหายไปแล้ว
และเอาฟอยล์มาคลุมขอบแบบภาพนี้ ฟอยล์นี้ทำง่ายๆด้วยการตัดฟอยล์เป็นวงกลม
ให้ใหญ่กว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของพิมพ์ แล้วตัดเป็นวงกลมข้างในอีกวง
ดูด้วยนะคะว่าตรงกับขอบหรือไม่
ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ขอบไหม้


10. ครบเวลาแล้วค่ะ
พายที่ดีควรอบออกมาแล้วสามารถพยุงตัวโดยไม่ต้องมีพิมพ์ค่ะ
ถอดออกมาจากพิมพ์แล้วถือได้
เปลือกพายกรอบมาก
ถือว่าเสร็จสิ้นแล้วนะคะการทำเปลือกพายโฮมเมดง่ายๆด้วยตัวเอง



********************************************************************************


เราได้เปลือกพายมาครอบครองแล้ว
ต่อไปเรามาดูมาเปลือกพาย Pate Brisee เราจะเอามาทำอะไรได้บ้าง
ก็มีพายผลไม้ต่างๆเช่น พายพีช พายบลูเบอร์รี่
ทาร์ตผลไม้ต่างๆ
และที่สำคัญคือ Quiche ภาษาอังกฤษอ่านว่า คีช ออกเสียงยาว
ส่วนภาษาฝรั่งเศสต้นตำรับอ่านว่า กิช ออกเสียงสั้น
ส่วนภาษาไทยเรียก พาย ค่ะ ง่ายๆเลย 555
เพราะจริงๆมันก็คือพายชนิดหนึ่ง เป็นพายของคาว
มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส
กิชที่ออริจินัลคือ Quiche Lorraine มาจากเมือง Lorraine ที่ติดกับชายแดนเยอรมนี
ส่วนประกอบหลักๆก็คือ ไข่ ครีมคัสตาร์ด และก็มีเบคอนหรือหมูสามชั้น
ต่อมาก็ได้พัฒนา filling ไปตามแคว้นต่างๆ เพิ่งจะมีการเติมชีสกันในภายหลังนี้เอง

วันนี้เราขอทำกิชไส้เบคอนและผักโขม

SPINACH & HAM QUICHE

ส่วนผสม

เปลือกพายขนาด 9 นิ้ว        1 เปลือก
ชีสมอซซาเรลล่าหรือชีสโปโวโลเน่ขูดเส้นใหญ่       100 กรัม
ชีสกรูแยร์หรือชีสสวิสขูดเส้นใหญ่      100 กรัม
แฮมหรือเบคอน     100 กรัม
ผักโขมลวกหั่นหยาบ    1 แพ็ค
เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ

ครีมคัสตาร์ด
วิปปิ้งครีมสำหรับอาหารคาว       1 ถ้วย
ไข่แดง      4 ฟอง
มัสตาร์ดดิจง     1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 1/8 ช้อนชา

วิธีทำ

1. วอร์มเตา 180 องศาเซลเซียส ไฟบนล่าง
ขูดชีสทั้งสองชนิดแล้วใส่ชามผสมกัน
ในรูปนี้เป็นชีสกรูแยร์ รสชาติเค็มๆมัน มันจะไม่ค่อยออกกลิ่นนมนะ
จะเค็มๆกว่าพวกเปกอริโน่กับปาร์มิจาโน่ซึ่งเป็นของอิตาลี
แต่ส่วนตัวก็ชอบค่ะ ชอบกินชีส


2. ล้างผักโขมให้สะอาด


3. นำไปลวกในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาทีแล้วยกขึ้นสะเด็ดน้ำ
เอาไปแช่ในน้ำเย็นและก็สะเด็ดน้ำอีกที
บีบเอาน้ำออก นำไปหั่นหยาบๆ
โปะด้วยเนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ เอาเข้าไมโครเวฟไฟแรง 1 นาที
คลุกให้เนยเข้ากับผักโขม พักไว้


4. เรามาทำครีมคัสตาร์ดกันโดยเอาส่วนผสมของครีมคัสตาร์ดทั้งหมดใส่ถ้วย
ตีด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน สีที่ได้จะเป็นเหลืองอ่อนๆค่ะ


5. ส่วนผสมของไส้กิช ชีสขูด ผักโขม แฮม และครีมคัสตาร์ด


6. เอาเปลือกพายมาเตรียม แบ่งชีสเป็น 3 ส่วน
 โรยด้วยชีสชั้นแรก


7. จากนั้นผักโขมและแฮมามลำดับ ทำซ้ำอีกรอบ


8. ลงท้ายด้วยชีสโปะหน้า


9. จากนั้นราดหน้าด้วยครีมคัสตาร์ด อย่าให้ล้นขอบ


10. เอาเข้าเตาอบ อบนาน 30 นาที เอาวงแหวนฟอยล์กันขอบไหม้คลุมด้วยนะคะ


11. อบเสร็จพักทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วค่อยตัดแบ่งค่ะ


12. รสชาติกลมกล่อมมาก ไม่อยากจะบอกว่าตอนที่กำลังเขียนนี้
กินกันหมดไปแล้วทั้งถาดค่ะ
อร่อยกลางดึก ฮิๆ

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Pâte brisée (Pie dough) แป้งพายจืด

และแล้วก็ไปถอย Food Processor เครื่องใหม่มาจนได้
เพราะว่าเครื่องเก่ามันจุได้น้อยและก็เก่าเกรอะมาก เริ่มมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
กลัวทำอาหารแล้วมันจะเก็บไว้ได้ไม่นานด้วยแหละ เสียดายของแย่
พอได้มา รีบมาเปิดซิงด้วยการทำอะไรง่ายๆก่อน
อย่างเช่น Pâte brisée (ปั้ต บริเซย์ย์ย์ย์) หรือแป้งพายจืดสูตรฝรั่งเศส นั่นเอง
เราสามารถนำแป้งมาทำเปลือกพาย ทาร์ตและก็กิซ(Quiche) - พายของคาวของฝรังเศส ได้
แล้วเมื่อวานนอนดูทีวีชิลล์ๆ ก็เปิดมาเจอป้ามาร์ธ่าสอนวิธีทำพอดี
เลยจัดการจดสูตรมาซะ
จริงๆตอนซื้อเตามาใหม่ๆ อบพายทั้งอาทิตย์เลย แต่แป้งที่ทำพาย
สูตรจะไม่เหมือนของป้าเขานะ

ป้ามาร์ธ่าเขาบอกว่า
แป้งพายของเขาอร่อยที่สุด
และเคล็ดลับทั้งมวลอยู่ที่ "COLD" ความเย็น
ขยายความว่า ใช้ของเย็นๆ เช่น แป้งเย็น แอร์ ฯลฯ เอ้ย! ไม่เกี่ยว
เนยเย็น น้ำเย็น เอาไปแช่เย็น เป็นต้น
และใช้เวลาในการทำอย่างรวดเร็ว

Pâte brisée
แป้งพายจืดแบบฉบับชาวเมืองน้ำหอม
ส่วนผสม
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 2  1/2ถ้วย
น้ำตาล 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
เนยจืดหั่นเป็นลูกเต๋าแช่เย็น 1 ถ้วย
น้ำเย็นจัด 1/4 ถ้วย

วิธีทำ

1. นำแป้ง น้ำตาล เกลือ เนย ใส่ลงไปในเครื่อง Food Processor
เราจะปั่นแบบ Pulse คือปั่นเป็นระยะๆ ปั่นเป็นช่วงๆไม่เกิน 10 วินาที
แป้งที่ได้จะมีลักษณะเป็นแบบ coarse meal หรือแป้งเป็นเม็ดๆเท่าเม็ดถั่วเขียวประมาณนี้


2. หยุดเครื่องเตรียมน้ำเย็นจัด บ้านเราอากาศร้อน
อาจนำน้ำแข็งมาลอยได้ แต่ห้ามเอาลงไปปั่นด้วยกัน
เรากลับไปที่เครื่อง ในนั้นยังมีแป้งอยู่ ค่อยๆปั่นแบบ pulse เหมือนเดิม
และรินน้ำลงไปเป็นสายตาม Tube ปั่นไม่นานเกิน 30 วินาที


3. แป้งที่ได้จะไม่เหลว ไม่ร่วน เหนียวนิดๆไม่มาก
เราจะแบ่งออกเป็น 2 ก้อนเท่าๆกัน

เตรียมพลาสติกวางแผ่นะคะ
แล้วเอาแป้งวางตามภาพด้านล่าง
แผ่นละก้อน ให้กดแป้งให้กลมแบนพอประมาณ
แล้วห่อให้มิดชิด จากนั้นใช้ไม้คลึงแป้ง คลึงให้มีลักษณะเหมือนจาน
กลมๆแบนๆ


4. แป้งที่ดีตามที่ป้าเขาบอก ควรจะมีเศษเนยกระจายอยู่ในแป้งแบบภาพด้านล่างนะคะ
ที่เป็นจุดขาวๆ ก่อนนำไปใช้ให้แช่ตู้เย็นนาน 1 ชั่วโมงหรือไม่เกิน 1 เดือนนะคะ


เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาแป้งพายมาทำอะไรต่อคอยติดตามนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Chocolate crinkles* คุกกี้ช็อคโกแลตหน้าแตก

กลับมาพร้อมของฝากกับ
คุกกี้อร่อยๆเต็มไปด้วยรสช็อคโกแลตอย่าง
Chocolate Crinkles นะคะ
ถือว่าเป็นคุกกี้ชนิดหนึ่ง
แต่ความโดดเด่นคือ หน้าแตกๆ ของเจ้าคุกกี้นี้ค่ะ
วิธีทำไม่ซับซ้อน แต่ออกมารสชาติอร่อย
ข้างในเป็นช็อคโกแลตขมๆเนื้อเป็นแบบเนื้อเค้ก
ส่วนข้างนอกเป็นหวานๆเพราะเคลือบน้ำตาล กรอบๆ
กินได้เพลินเลยค่ะ
สูตรความอร่อยนี้ได้มาจาก แม่ปู ค่ะ



Chocolate Crinkles
ส่วนผสม
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย
ผงโกโก้ 1/2 ถ้วย
ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
เนยจืดอุณหภูมิห้อง 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 2 ฟอง
วนิลา 1/2 ช้อนชา
เซมิสวีทช็อคโกแลตชิพ 1/2 ถ้วย

ส่วนเคลือบแป้งโดของคุกกี้ Dough Frosting
น้ำตาลทรายเม็ดเล็ก  1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1/2 ถ้วย

วิธีทำ

1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ ผงโกโก้ เข้าด้วยกัน แยกใส่ชามพักไว้


2. เอาเนยใส่ชามตีทิ้งไว้ให้นิ่มตัว จากนั้นใส่น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายลงไป


3. ตอกไข่ใส่ชามเล็ก เตรียมไว้
ในรูปไข่ฟองนึงเป็นไข่แฝด ตอกออกมาเลยได้ไข่แดง 3 ฟอง ขำดี
ใส่วนิลาลงไปพร้อมกันเลยค่ะ


4. กลับไปที่ชามเนยน้ำตาลค่ะ ตีด้วยความเร็วปานกลาง ตีประมาณ 3 นาที
ให้เนยกับน้ำตาลเข้ากัน ขึ้นฟูและสีจางลง


5. จากนั้นใส่ไข่ลงไปตีทีละฟอง ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน


6. ส่วนผสมที่ได้จะไม่ข้นมาก ออกจะเหลวๆนะ
จากนั้นก็ให้ใส่ของแห้งข้อ 1 แบ่งใส่ 2 ส่วน
เพราะจะเข้ากันลำบากมาก
ต้องคนๆให้เข้ากัน


7. ตัวแป้งหน้าตาจะเป็นเช่นนี้นะคะ
เป็นก้อนเหนียวๆ
จากนั้นใส่ช็อคโกแลตชิพลงไปคลุกให้เข้ากัน
คลุมพลาสติกแช่ตู้เย็น 2ชั่วโมง หรือข้ามคืนก็ได้ค่ะ
แต่ไม่เกิน 3 วัน


8. เราเข้าช่องฟรีซ 2 ชั่วโมงกว่าๆ
แป้งจะแข็งตัว ปั้นเป็นก้อนได้
ระหว่างที่ใกล้จะเอาออกมาอบ
ให้วอร์มเตาที่ 175 องศาเซลเซียส ไฟบนล่าง
ปูกระดาษไขบนถาด ไม่ต้องทาไขมันเลย
ให้เราปั้นลูกละประมาณ 1 นิ้วเป็นทรงกลม
ปั้นได้ทั้งหมด 24 ลูกค่ะ


9.เอาแป้งไปคลุกน้ำตาลทรายเม็ดเล็กให้ทั่วลูก
จากนั้นตามด้วยน้ำตาลทรายป่น
วางเรียงบนถาดให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว
อบนาน 10-15 นาทีนะคะ


10. ทิ้งไว้ในถาดประมาณ 5 นาทีแล้วเอาออกจากถาดวางบนตะแกรงให้หายร้อน
จากนั้นหาภาชนะมาบรรจุใส่
คุกกี้นี้ทานคู่กับนมจืดเย็นๆก็เข้ากันดีนะคะ