วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

BANGKOK HONEY TOAST

"สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ..."
คำนิยามที่บรรยายสภาพสถานะทางการเงินได้อย่างดีของบรรดามนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ
ปลายเดือนแล้ว กร๊อบ กรอบ ซึ่งเป็นเสียงกระเป๋าแห้งๆเสียดสีกระเป๋ากางเกง
อยากกินของ FAB FAB แต่เงินไม่เอื้อ ทำงไดี

เรามีทางเลือกให้คุณ เพียงแค่มีงบไม่เกิน หนึ่งร้อย อ้อย อ้ออย อ้อออย บาท เท่านั้น!!!
มั่นใจว่าวัยรุ่นอย่างเรามีเมนูขนมหวานโปรดประจำใจไม่กี่อันหรอก เอาแบบฮิพๆเลยนะ
คิดว่าหนึ่งในนั้นก็คือ "SHIBUYA HONEY TOAST"
กินที่ร้านก็แพงเกิน ทั้งๆเท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรเป็นส่วนผสมพิเศษมากมาย

เรามาดูส่วนผสมกัน

1.) ขนมปังแถวแบบไม่สไลด์ หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆก็เลือกที่สไลด์หนาๆหน่อย
(หาซื้อได้ตามแผนกเบเกอรี่ Makro, Carrefour หรือ Tesco Lotus)

2.) เนยจืด(อยากให้เค็มหน่อยก็ใส่เกลือไปนิดนึง) หรือ มาการีน 2 ชต.

3.) Maple Syrup(ร้านใช้) แต่เราสามารถใช้ น้ำผึ้ง แทนกันได้แถมถูกกว่า บางคนก็มีติดบ้าน

4.) น้ำตาลไอซิ่ง

5.) ไอศครีมรส วนิลลา หรือรสอื่นๆที่ชอบ วอลล์ก็ได้ถูกดี ถ้วยเล็ก 35 บาท ตักได้ 2 ลูก

6.) toppings ต่างๆ ตามใจเลย

วิธีทำ
1.) หั่นขนมปังหนา 3 นิ้ว หรือเท่าไหร่ก็ได้ตามจายยยยย ถ้าหนามันก็จะนุ่มๆ
หั่นเป็นแบบตาราง xo 3x3 หั่นให้ลึกแค่ครึ่งเดียว
2.) ละลายเนยในไมโครเวฟโดยใส่จานแบนให้ชุบขนมปังได้
3.) ชุบเนยละลายที่หน้าและหลังขนมปังให้เนื้อสีขาวกลายเป็นสีเหลือง เอาเนยอุดร่องให้เต็ม
4.) นำขนมปังไปอังที่กระทะด้วยไฟอ่อนๆ ให้กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆทั้งสองด้าน ก็พอ
5.) ราดน้ำผึ้ง โรยน้ำตาลไอซิ่ง ตักไอติมใส่จานเสิร์ฟพร้อมกัน



ทานได้หลายครั้งและทานได้หลายคนค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

Home-made Pesto

ในบรรดาพาสต้าที่ชอบมากที่สุด คือ Trofie al pesto
เคยกินครั้งแรกที่บ้านคนรู้จัก แม่เขาทำอร่อยมาก
แบบว่าต้องขอเบิ้ลจานทุกที
พอหลังจากนั้น ไปทานที่ไหนก็รู้สึกว่า อร่อยไม่เท่า
ยิ่งซื้อแบบเป็นกระปุกมาทานยิ่งอารมณ์เสีย

ขอแนะนำเจ้าซอส Pesto (เพสโต้) ตัวนี้ก่อน
เป็นซอสสัญชาติอิตาเลียน โดยเมืองที่เลื่องชื่อในการผลิตคือ Genova ในแคว้น Liguria
ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์ อยู่ติดทะเล
ซอสนี้ส่วนผสมหลักคือ Sweet Basil หรือตระกูลเดียวกับโหระพานั่นเอง
พืชนี้จะขึ้นตามแนวทะเล มีรสชาติและกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะได้รับลมที่มีกลิ่นอายทะเลติดมาด้วย
ลักษณะใบ กลิ่น รสชาติก็จะแตกต่างจากใบโหระพาบ้านเราอย่างเห็นได้
คือ ใบ Sweet Basil จะใบใหญ่กว่าและกลม ไม่เรียว กลิ่นจะไม่ฉุนและรสไม่แรงเท่าโหระพาเรา
ชอบกลิ่นใบ Sweet Basil มากเพราะสดชื่นดี

ส่วนผสมรองลงมาที่ช่วยเสริมกลิ่นหอมและความมันคือ Pine Nut หรือ เมล็ดสน
ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วหรือกระเทียมกลีบเล็กๆ
หากใช้นิ้วบีบ เมล็ดจะมีน้ำมันออกมาพอสมควร กลิ่นหอมคล้ายเนย
ราคาแพงเอาการ แต่ควรใส่เพื่อความอร่อย

วันนี้จะมา share สูตร Pesto ต้นตำรับของ Genova และวิธีทำแบบดั้งเดิมพื้นบ้านเลย

PESTO GENOVESE
ส่วนผสม
1.) น้ำมันมะกอก 2-3 ชต.
2.) ชีส Pecorino ขูด 1 ถ้วย
3.) ชีส Parmigiano Reggiano ขูด 1 ถ้วย (ชอบชีสอะ เลยใส่เยอะ อาจใส่ครึ่งถ้วยก็ได้ตามใจชอบ)
4.) กระเทียมปอกเปลือกแล้ว 2 กลีบ
5.) Pine nut 1 กำมือ
6.) ใบ sweet basil อ่อนๆ 60 กรัม ที่ล้างสะอาดแล้ว
7.) เกลือ 3 หยิบมือ


อุปกรณ์
ครกกับสาก หรือ หากใครขี้เกียจก็ใช้เครื่องปั่นอาหารแทน
ความแตกต่างระหว่างการใช้ครกกับเครื่องปั่นคือ ความร้อนของใบมีดเครื่องปั่นจะไปทำลายรสชาติและกลิ่นของ sweet basil ทำให้ไม่คงเดิม

วิธีทำ
1.) ตำกระเทียมให้แหลกละเอียด
2.) ใส่ pine nut กำมือนึงลงไปตำให้ละเอียด ช่วงนี้จะเหนียวๆหนืดๆหน่อย ใช้ช้อนขูดๆ เอา
3.) แบ่งใบsweet basil เป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน เราจะตำกันทีละส่วน เพราะจะช่วยให้ไม่ต้องใช้แรงมากและละเอียดดีกว่าตำรวดเดียว
4.) ใส่ใบส่วนที่นึงตำคลุกเคล้ากับกระเทียมและ pine nut โรยเกลือ 1 หยิบมือ จนละเอียดเป็นน้ำเขียวๆข้นๆ
5.) ทำซ้ำวิธีที่ 4
6.) ใส่ชีสทั้งสอง คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตำให้ละเอียด



7.) ใส่ใบส่วนสุดท้าย โรยเกลือ ตำให้ละเอียดและเข้ากัน
8.) บรรจุใส่ขวดแก้ว เทน้ำมันบนผิว Pesto เพื่อเป็นการ anti-oxidant ปิดฝาให้สนิท แช่ในตู้เย็น

วิธีทำเมนูพาสต้าก็ง่ายๆ
ส่วนใหญ่ Pesto จะทานกับเส้น linguine คล้าย spaghetti แต่แบน และ เส้น trofie <3 ของโปรด
ลวกเส้นให้ al dente พอมีน้ำขลุกขลิกนิดเดียว แล้วใส่ Pesto 2 ช้อนโต๊ะ/จาน คลุกให้ทั่ว
ทานเดี่ยวๆหรือทานกับไก่ย่าง กุ้งย่าง แซมอน ก็ match กันดี

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ก๋วยเตี๋ยวลูกครึ่ง

วันนี้กะออกไปกินส้มตำจิ้มจุ่มหน้าปากซอยบิ๊กซีเอกมัย
แต่ท่าทางเหมือนฝนจะตก เลยรีบบึ่งกลับบ้านทันที
หิวก็หิว ไม่มีอะไรจะกินเลย เปิดตู้เย็น ตู้กับข้าว ถังขยะ เอ้ย!
มีเส้นขนมจีนเวียดนามอยู่ มีซี่โครงหมู (จริงๆต้องเอาไปต้มให้หมาที่บ้านกิน ก็แย่งมันมา)
ผักเผิกก็พอมีอยู่บ้าง เลยนึกอยากทำก๋วยเตี๋ยวเอา
ตัดสินใจเอามาปู้ยี่ปู้ยำกันดูได้เป็น "ก๋วยเตี๋ยวไทย-เวียดนาม"
ทำไม ไทย-เวียดนาม? เพราะว่าเส้นอะพะยี่ห้อว่าเวียดนามแต่น้ำซุปอะไม่รู้เวียดนามเขาทำกันยังไง
ทำตามมีตามเกิดเนี่ยแหละ fusion ไปซะ หมดเรื่อง
เคยทำกินอยู่ 3-4 หนละ เคยลองทำกับเส้นก๋วยจั๊บญวนด้วย แต่ไม่ค่อยปลื้มมาก
เพราะมันอืดไว๊ไว



ก๋วยเตี๋ยวกรุงเทพ-ฮานอย (3-4 ที่นั่ง)
(เหมือนตั๋วเครื่องบินเลยว่ะ)
ส่วนผสม



1.) เส้นขนมจีน/ก๋วยจั๊บเวียดนาม 1 ซอง
2.) ซี่โครงอ่อนหมู ซักแพ็คนึง (อิชั้นไม่มี จึงขอยืมซี่โครงหมูของคุณหมามาก่อน)
3.) หอมใหญ่ซอย 2 หัว
4.) หอมแดงแขกเบิ้มๆซอย 1 หัว
5.) หมูยอพริกไทยดำหั่นเป็นแท่งๆ
6.) พริกไทยดำโขลกละเอียด 1/4 ถ้วย
7.) ผักชีฝรั่งหั่นเป็นแว่นๆ ตามใจชอบ
8.) กระเทียมกลีบใหญ่ 3-4 กลีบ ตำละเอียด
9.) รากผักชี 2-3 ต้น ตำละเอียด
10.) ซีอิ๊วขาว 1 ถ้วย หรือชิมเอาเองตามใจชอบ
11.) ซีอิ๊วหวาน 1/2 ถ้วย
12.) น้ำสะอาด เราใช้ประมาณ 3 ชามก๋วยเตี๋ยว (ใครขี้เกียจเคี่ยวซี่โครงก็ใส่ ซุปก้อนรสหมู ไปแทนได้)
มีไรอีกปะเนี่ย เดี๋ยวนึกได้แล้วจะบอก

ขั้นตอนการเตรียมสูตรอิชั้น


1.) หมักกระดูกหมูด้วย รากผักชี กระเทียม พริกไทย ซีอิ๊วขาว ทิ้งไว้พอให้เข้าเนื้อในตู้เย็น ซัก 30 นาที
2.) ระหว่างนี้ก็หั่น ซอย ผักอะไรก็ว่ากันไป ตามข้างบน
3.) พอหมักใกล้ถึงเวลา ต้มน้ำในหม้อให้เดือด ใส่ซุปก้อนและ/หรือกระดูกหมูที่หมักลงไปในน้ำเดือดปุดๆ

4.) ใส่หอมใหญ่ซอย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วหวาน พริกไทยดำโขลกละเอียด เคี่ยวๆให้น้ำเข้ากัน

5.) ระหว่างปลีกตัวไปเจียวหอมแดงนิดนึง เจียวให้ดหลืองกรอบ หอมๆเลยนะ พักไว้ใส่จาน
6.) เคี่ยวน้ำซุปด้วยไฟกลางออกอ่อนๆจนน้ำกลมกล่อม ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกำลังดีนะ
7.) 20 นาทีผ่านไป นำเส้นขนมจีน/ก๋วยจั๊บมาลวกน้ำ ตามซองก็มีบอก ประมาณว่าแช่ในน้ำเย็นก่อน 5 นาที จากนั้นก็สะเด็ดน้ำเอาไปแช่ในน้ำร้อน 8-10 นาที และเทน้ำทิ้ง แบ่งใส่ถ้วย และราดซุป เป็นอันเสร็จสิ้น

8.) โรยหน้าด้วยผักชีฝรั่งและหอมแดงเจียวกรอบๆ ปรุงรสด้วยน้ำพริกเผาผสมพริกป่น แซ่บมาก ขอบอก


อันนี้เป็นสูตรที่เราลองๆทำมา ก็ชอบนะ รู้สึกไม่ซับซ้อนดี เน้นทำง่ายๆ
แต่ไม่รู้ว่าสูตรของคนอื่นเป็นยังไง แต่ใครอยากรู้ว่าสูตรนี้เ็ป็นยังไงก็ต้องลองทำดูนะ ไม่ยากเลย

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหารอิตาเลียนสิ้นคิด : Spaghetti alla Carbonara

ถ้าพูดถึงเมนูสิ้นคิดของไทยก็คงจะเป็นข้าวผัดกระเพราไข่ดาว
แต่ถ้าโดยส่วนตัวอาหารที่ไม่ต้องคิดมากของอิตาลีก็คงจะนึกถึง สปาเกตตี้คาร์โบนาร่า ประมาณนี้
เพราะทำง่าย ไม่ซับซ้อนและใช้เวลาแป๊ปเดียว
พูดถึงคาร์โบนาร่าเองก็มีหลายสูตรอยู่
แต่วันนี้จะมานำเสนอสูตรที่คิดว่าตั้งแต่ลองทำมาแล้วชอบที่สุด

ก่อนอื่นมารู้จักที่มาของอาหารจานนี้กันก่อนว่ามันเป็นมายังไง
ที่มาก็มีหลายแหล่งเหมือนกัน Carbonara ภาษาอิตาเลียนเนี่ยแปลว่า ถ่านไม้ที่สีดำๆ น่ะค่ะ
ดังนั้นสันนิษฐานว่าเมนูนี้คิดค้นมาจากอาหารของชาวอิตาเลียนที่ทำงานในเหมืองแร่ในสหรัฐฯ
บ้างก็ว่า สูตรดั้งเดิมทำบนกระทะที่ใช้ถ่าน หรือเป็นเพราะปรุงด้วยพริกไทยดำมากจนทำให้ดูเหมือนมีถ่านดำๆ
แต่จริงๆจะมาจากไหนก็ช่างเถอะ รู้แต่ว่าขอบคุณที่ช่วยคิดของอร่อยๆตกทอดมารุ่นปัจจุบันก็พอละ

Spaghetti alla Carbonara (4 คน)



ส่วนผสม
1.) เส้น Spaghetti ครึ่งซอง
2.) ชีส Parmigiano Reggiano หรืออังกฤษเรียกว่า Parmesan 1 ถ้วย
3.) ไข่แดง (จำนวนตามคนที่จะทาน 1คน/ 1ฟอง) 4 ฟอง
4.) เบคอน
5.) เกลือ พริกไทย
6.) หัวหอม (ใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้)
7.) วิปครีม (ใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้) 2 ชต
8.) น้ำมันมะกอก



ขั้นตอนการทำง่ายมากกกกกกก
1.) ทอดเบคอนให้กรอบ พักไว้ในจาน
2.) ผัดหอมใหญ่ให้เหลืองหอม พักไว้ในจาน
3.) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย ใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป
4.) นำชามใบใหญ่ใส่ไข่แดง ชีส Parmigiano วิปครีม คนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย

5.) เบคอน หอมใหญ่ที่ทำให้สุกเมื่อสักครู่ เทลงไปในชามซอสได้เลย คนๆให้เข้ากัน
6.) ชิมเส้นว่า Al dente* หรือยัง ส่วนใหญ่ก็ประมาณ 11-12 นาที พอได้ที่แล้วก็เทน้ำทิ้ง
7.) คลุกเส้นลงไปในชามซอสได้เลยค่ะ เป็นอันเสร็จพิธีการ


ทานร้อนๆเลย อู้ยยยยยยย เริ่ดมาก
BUON APPETITO!

* Al dente (อัล เดนเต้)= หนึบๆ เส้นสปาเกตตี้ที่ดีไม่ควรทำให้สุกนิ่มจนหรือแข็งจนเกินไป
* สูตร original ไม่มีหอมใหญ่กับวิปครีมนะคะ แต่ว่าอยากใส่เพราะหอมใหญ่ทำให้มีรสหวานและวิปครีมช่วยเพิ่มรสชาติให้มันและเข้มข้นยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

Be Italian: Lasagne Alla Bolognese

เมื่อวันจันทร์ได้ลองไปกินอาหารอิตาเลียนที่ร้านหนึ่งที่เพื่อนชอบไปกินแต่ไม่อยากเอ่ยชื่อ อยู่แถวอโศก
โดยส่วนตัวรู้สึกไม่ประทับใจรสชาติ...อย่างแรงงง คือก็เข้าใจเลยว่าไม่ใช่ร้านที่มีเจ้าของอิตาเลียนแท้ๆ ไม่ได้อคติ
แต่เข้าใจว่าคนอิตาเลียนเนี่ย เขาแสนจะ proud เรื่องอาหารประจำชาติ เขาไม่ยอมเสียเกียรติให้โดนด่าว่าทำอาหารไม่เป็นสัปปะรดหรอก
ขอ review (หรือ criticize ดี 555) อาหารที่สั่งมาจากร้านเนี่ยก็ได้แก่
1.) Foie Gras แต่เขาระบุมาว่า chicken liver ก็โอเค ถูไถไปได้ แต่ปรากฏว่าเพื่อนคนนึงลองให้ปลายลิ้นชิมๆ ถึงกะปาขนมปังทิ้งลงจาน
เพราะว่ามันเหม็นคาวมากกกกกก แต่เราก็กินไป2-3 คำแล้วแหละเพราะเสียดาย
2.) Spaghetti alla Carbonara จานนี้หน้าตาดูดีเชียว เสิร์ฟแบบมีแป้งคลุม แต่พอเอาเข้าปาก เฮ้ยไหนอะ? ไหนอะชีส? แป้งข้าวโพดชัดๆผิดหวังมากค่ะ
3.) Parma Ham Pizza ก็ไม่ขี้เหร่ มี parma ham เส้นกลางๆ แต่แป้งเย็นเฉียบ ชีสน้อยเหมือนเดิม จะงกทำไม?
4.) Pork Lasagna อารมณ์เสียค่ะ นึกว่ากินแกงกะหรี่อยู่ซะอีก

พอเจออย่างงี้เข้า เลยอารมณ์เสียมากมาย ก็เลยลองทำกินเองแม่งเลย ไม่ง้อแล้ว ....
สูตรนี่ก็ได้มาจาก giallozafferano.it จากอิตาเลียนแท้ๆ ถ้าอยากลองทำอาหารอิตาเลียนแนะนำเว็บนี้เพราะเป็นสูตรต้นตำรับแท้ๆ แต่ต้องแปลเอาหน่อย
วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี บริษัทหยุดเพราะม๊อบเสื้อแดงป่วน เลยมีเวลาเข้าครัว
การทำลาซานญ่า (Lasagne ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า "ลาซานเญ่" ) ใช้เวลานานพอสมควรเพราะ
ประกอบไปด้วยซอส 2 ซอสซึ่งก็คือ Ragu' alla Bolognese และ Besciamella (Bechamel)



เริ่มแรก เราต้องเตรียมส่วนประกอบในการทำซอส Ragu' ก่อน ซึ่งแฟนอาหารอิตาเลียนคงจะทราบกันดีว่าเป็นสูตรซอสมะเขือเทศที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นBologna ซึ่งเป็นแคว้นของอิตาลีที่มีอาหารอร่อยๆขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น Mortadella (ที่เมืองไทยเรียกกันติดปากว่า ไส้กรอกโบโลน่า)


ส่วนผสมของซอส Ragu' alla Bolognese
1.) เนื้อหมู + เนื้อวัว + เนื้อติดมัน
2.) แครอท + หัวหอม + celery สับละเอียด
3.) น้ำซุป
4.) เนื้อมะเขือเทศเข้มข้น
5.) ไวน์แดงอิตาเลียน (ทำอาหารอิตาเลียนก็ควรใช้ของเขา)
6.) นมสด
7.) น้ำมันมะกอก extra virgin
8.) เกลือ + พริกไทย
9.) เนยละลาย
10.) ชีส Parmigiano Reggiano (แนะนำให้ซื้อแบบเป็นก้อนแล้วมาขูดเอง)
(ปริมาณต้องลองกะเอาตามจำนวนคนที่รับประทาน)

วิธีเตรียม
1.) ตั้งไฟปานกลาง นำเนยและน้ำมันมะกอกมาละลาย พอละลายเข้ากัน นำผักมาใส่ คนไปเรื่อยๆจนเป็นสีเหลืองทอง



2.) นำเนื้อติดมันลงมาทอด สักพักนำเนื้อหมูและเนื้อวัวตามลงมา ตั้งไฟอ่อนเคี้ยวไปเรื่อยๆประมาณ 30 นาทีจนเป็นสีน้ำตาลและงวด ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย
3.) ใส่ไวน์แดงลงไป เคี้ยวๆให้เข้ากับเนื้อ จนน้ำเริ่มแห้ง จากนั้นใส่น้ำซุปผสมเนื้อมะเขือเทศเข้มข้น ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นใส่นมลงไป คนให้เข้ากัน และชีส Parmigiano Reggianoนำใส่ถ้วยพักไว้





เสร็จแล้ว เรามาทำซอส Besciamella หรือ Bechamel หรือ White Sauce นั่นเอง ต่อ ซอสนี้มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส แต่เราจะพบในส่วนผสมของอาหารอิตาเลียน เช่น Cannelloni และ Lasagne



ส่วนผสม Besciamella

1.) นมเนย 2.) แป้งทำซอสขาว 3.) เนย 4.) เกลือ พริกไทย 5.) Nutmeg จันทน์เทศขูด


วิธีทำ
1.) ตั้งไฟอ่อนๆ นำเนยลงไปละลายในหม้อให้เป็นน้ำ จากนั้นใส่แป้งลงไปคนจนกลายครีมเป็นสีเหลือง
2.) ใส่นมลงไป เคี้ยวให้เข้ากัน จนแป้งสุก ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และจันทน์เทศ นำใส่ถ้วยทิ้งพักไว้

ทีนี้เราก็จะได้ส่วนประกอบหลักของลาซานญ่าแล้ว ต่อไปเราจะมาทำการต้มแผ่นลาซานญ่าที่ทำจากไข่สด (Lasagna all'uovo) ต้มจนพอสุกอย่าให้นิ่มมาก เพราะเราต้องนำไปอบอีก


ถึงเวลาประกอบร่างลาซานญ่าแล้ว เตรียมส่วนผสมดังนี้
1.) แผ่นลาซานญ่าที่ต้มสุก
2.) ซอส Ragu' alla Bolognese
3.) ซอส Besciamella
4.) ชีส Parmigiano Reggiano
5.) ชีส Mozzarella

วิธีทำ
1.) นำถาดอบ (แนะนำทรงสี่เหลี่ยม แต่เราไม่มีเลยต้องตัดเส้นตามทรงถาดเอา) ทาน้ำมันมะกอกให้ทั่ว จากนั้นราดซอส Ragu' ชั้นแรกเพื่อไม่ให้ไหม้
2.) ปูแผ่นลาซานญ่าให้ทั่วถาดอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นทาซอส Besciamella ให้เต็มและตามด้วยด้วยซอส Ragu' และโรยชีส Parmigiano Reggiano ให้ทั่ว
3.) ทำตามขั้นตอนที่ 2 เหมือนเดิม
4.) โรยหน้าด้วย Mozzarella เพื่อเพิ่มความยืด


5.) นำไปอบที่ความร้อน 160 องศา นาน 1 ชั่วโมง พอครบกำหนดแล้ว ทิ้งไว้ให้เย็นเองประมาณ 20นาที แล้วค่อยตัดแบ่ง





รับประทานคู่กับไวน์แดงนี่สุดๆเลยค่ะ เห็นมั้ยลาซานญ่าอิตาเลียนสไตล์ทำง่ายนิดเดียว!!!